4 วิธีที่จะช่วยให้เล่น Deep Stack Poker ง่ายกว่าเดิม
4 วิธีที่จะช่วยให้เล่น Deep Stack Poker ง่ายกว่าเดิม ข้อดีอย่างหนึ่งของการเล่น Cash Game Poker ก็คือเราไม่จำเป็นต้อง Buy-in เยอะ ๆ ก็ได้ ใช้แค่ Short Stack ระดับไม่เกิน 20 BB ก็เล่นได้แล้ว แต่ถ้าจะเอากำไรคืนบ้างก็ขยับมาสัก 20-60 BB ก็โอเคอยู่ พอเล่นคล่องอยากมาเล่น Deep Stack กับเขาบ้างงานเข้าซิครับ ส่วนใหญ่ 100BB นี่แทบไม่มีใครเล่น จะไปเน้นระดับ 150BB+ นู้น เครียดล่ะซิไปไม่ถูก ยิ่งเล่นยิ่งมั่วทั้งที่ตอนใช้ Short Stack ยังไม่เป็น แล้วแบบนี้จะทำอย่างไรดี
เรารู้จักไพ่ 2 ใบแรกในมือเราดีแค่ไหน เพราะนั่นอาจเป็นการตัดสินใจที่ยากชวนให้เราหายใจไม่ทั่วท้องว่าเราจะทิ้งหรือจะไปต่อดี ก็เป็นเพราะเราไม่รู้จัก Starting Hand ดีพอ เราจึงอยากมานำเสนอ เทคนิค Starting Hand ว่าวิธีแบบไหนถึงจะได้ไปต่อใน No Limit Hold’em Poker
สิ่งที่ต้องเรียนรู้และปรับตัวเมื่อต้องการเล่น Deep Stack
สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจและทำใจยอมรับมันให้ได้คือการเล่น โป๊กเกอร์ ด้วย Deep Stack มันจะต้องใช้เงินเยอะกว่า Short Stack อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแบบ Tournament หรือ Cash Game ตาม คาสิโนออนไลน์ มันเป็นเหมือนกันหมด ถ้าหารับสภาพตรงนี้ไม่ได้ก็ไม่ต้องเล่นแค่นั้นเอง แต่ถ้าคิดว่าเราพร้อมแล้วสำหรับการเล่นด้วยหน้าตักหนา ๆ สัก 150BB เป็นอย่างน้อยล่ะก็ เรามีเรื่องหลัก ๆ ที่ต้องมาปรับทัศนะคติดังนี้ครับ
- ปรับ Bet Size ในช่วง Pre-flop
- เลือก Range ไพ่สำหรับ 3-Bet
- เลือก Range ไพ่สำหรับ 4-Bet
- ปรับแผนช่วง Post-flop
ปรับ Bet Size ในช่วง Pre-flop
สำหรับการเล่น Deep Stack การ Open-Raise (การเกทับรอบแรก) แทบจะไม่ต้องปรับเรื่อง Bet Size เลย สมมติว่าเรา Open-Raise ที่ 2.5 BB ก็ใช้ราคานี้ยาวไปได้เลย หรือถ้าปกติ Open-Raise 4BB ก็ไม่จำเป็นต้องเพิ่มหรือลดไปกว่านี้อีกแล้ว
ส่วนราคาที่ใช้ในตอน 3-Bet ต้องดูด้วยว่าตำแหน่งเล่นของเราเป็นอย่างไร หากอยู่ในตำแหน่งที่ดีก็ใช้หลักการเดิมคือไม่เพิ่มไม่ลด ในเมื่อเราเป็นคน 3-Bet ที่ตำแหน่งดีกว่า ก็ถือว่าเรามีข้อได้เปรียบที่มากพอให้ใช้ได้ตลอดมือ นอกจากนี้เรายังสามารถใช้ความได้เปรียบที่มาเล่นกับอีกฝ่ายในสถานการณ์ที่มีค่า SPR สูงอีกด้วย
แต่ถ้าเราอยู่ในตำแหน่งที่แย่กว่า การจะ 3-Bet ก็ต้องขยับราคาให้สูงขึ้นมาด้วย ถ้าอีกฝ่ายมี 200BB Open-Raise 2.5 BB แทนที่จะสวนด้วย 3-Bet 9BB ตามสูตรมาตรฐาน ก็ให้อัดไปอย่างน้อย 11BB จะมากกว่านี้ก็ได้มันอยู่ที่ Deep Stack ของเราด้วย ส่วน 4-Bet ก็ใช้หลักการเดียวกัน
นักเล่นโป๊กเกอร์ที่กำลังจะไปพิชิตรางวัลกับการเล่นแบบ Tournament ถ้าไม่พกตัวช่วยให้รวยจาก Tournament Poker อย่าง เทคนิคโป๊กเกอร์ ICM หรือชื่อเต็มๆว่า Independent Chip Model ไปด้วยละก็คุณแย่แน่ๆเลยนะ แต่ถ้าคุณยังไม่ค่อยเข้าใจกับเทคนิคนี้เท่าไรก็มาทางนี้เราจะอธิบายให้คุณเข้าใจ
เลือก Range ไพ่สำหรับ 3-Bet
สำหรับการ 3-Bet หากเราอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าก็ไม่จำเป็นต้องปรับ Range ใหม่ ปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนปรับไปแต่ถ้าเราอยู่ในตำแหน่งที่แย่กว่าล่ะ อันนี้จำเป็นต้องปรับ แต่ก็ไม่มากหลัก ๆ ก็จะประมาณนี้ครับอย่างแรกที่ต้องทำเลยก็คือ Polarize Range ไพ่เราให้มากขึ้น เนื่องจากเราต้อง 3-Bet ด้วยราคาที่สูงขึ้น และต้องเลี่ยงการเล่น Pot ที่ใหญ่เกินไปด้วยไพ่ระดับกลาง
สำหรับใครที่ยังไม่เข้าใจเรื่อง Polarize Range ตรงนี้คือการแบ่ง Range ออกเป็น 2 ขั้วด้วยการตัดไพ่ระดับกลาง ๆ ออกไป ให้เหลือแค่หัวกับท้าย เช่น ในการใช้ 3-Bet เราจะต้องเอาไพ่ขั้วแรก ได้แก่ AA, KK, QQ, JJ, AK หรืออีกขั้วหนึ่ง ได้แก่ 65s, 78s, 910s ขั้วใดขั้นหนึ่งมาเล่น ส่วนไพ่กลาง ๆ อย่าง KQ, KJ เราจะไม่เอามาเล่น เพราะมันจะทำให้เราเล่นลำบากขึ้นกว่าเดิม
อย่างที่สองให้ 3-Bet ด้วย Suited Connector (มือเริ่มต้นที่เรียงแต้มและมีดอกเดียวกัน) เพิ่มขึ้นเพื่อให้ Range ไพ่ครอบคลุมได้ทุกบอร์ด มันจะช่วยปิดจุดอ่อนของ Range 3-Bet ได้เป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นอาจโดนบีบให้ Call 200BB ในรอบ River ด้วย Overpair บนบอร์ด 6♦ 5♣ 2♠ 10♦ 3♣ ถ้าตรงนี้ Range เราเป็นพวกไพ่ตัวเลขก็สามารถทำให้อีกฝ่ายคิดหนักได้เหมือนกัน สำหรับไพ่ Ax ที่เป็นดอกเดียวกันยังคงสามารถเอามา 3-Bet ได้เช่นกัน ยิ่งถ้าต้องไปเจอกับ Flush ชน Flush ยังไงก็ชนะชัวร์
เลือก Range ไพ่สำหรับ 4-Bet
ปกติแล้วการเล่น Deep Stack น้องครั้งที่เราจะมีโอกาสได้ใช้ 4-Bet เข้าสู้ไม่ว่าเราจะอยู่ในตำแหน่งไหนก็ตาม นั่นก็เพราะว่าเหตุผลแรกคือเวลาเราโดน 3-Bet ขณะที่อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่า เราก็แค่ Call ให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้เล่น Post-flop ในสถานการณ์ที่ SPR สูงกว่าอีกฝ่าย เนื่องจากฝั่งนั้นอยุ่ในตำแหน่งที่แย่กว่า เพียงแค่การ Call ด้วยไพ่ Premium (ไพ่ใหญ่) ที่ระดับต่ำกว่า KK (QQ, AK) ก็มากเกินพอแล้ว
นอกจากนี้ไพ่ Premium ที่ว่ายังสามารถช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบารวมถึงป้องกันไพ่เราได้ในเวลาที่เราโดน 3-Bet ขณะที่อยู่ในตำแหน่งที่แย่กว่า ด้วยการ Call ไพ่ Premium เท่านั้นเองไม่อย่างนั้นเราจะเลือก Call โดยไม่ 4-Bet พวก AA กับ KK ก็ได้ ทั้งหมดนี้มันขึ้นอยู่ที่ว่า Deep Stack เราหนาแค่ไหน บวกกับความดุดันในเล่น Post-flop ของอีกฝ่าย ถ้า Deep เรามากขึ้นเราก็ควรที่จะ 4-Bet AA กับ KK ให้น้อยลง โดยเฉพาะเมื่อต้องไปชนกับพวก Aggressive ที่ Bet ถี่ ๆ ขยี้รัว ๆ ในช่วง Post-flop
ปรับแผนช่วง Post-flop
ในการเล่น Deep Stack ไม่จำเป็นเลยว่าต้องปรับแผน Post-flop อยู่ตลอดเวลา เอาแค่ช่วงที่เราเล่นใน Pot 3-Bet โดยที่คน Open-Raise Pre-flop อยู่ในตำแหน่งแย่กว่าก็พอ นั่นก็เพราะว่าเรามี Deep Stack ใน Pot ขนาดใหญ่ การเล่นควรจะเน้นไปที่การป้องกันเป็นหลักด้วยการ Check หรือ Call ให้มากขึ้นขณะเดียวกันก็ Bet หรือ Check-Raise ให้น้อยลง ซึ่งมันจะส่งผลดีต่อเราเมื่อต้องไปเจอกับผู้เล่นที่เป็นพวก Aggressive พวกนี้จะ Bet บ่อยมาก
สรุปก็คือ Deep Stack ไม่ยากเลย แถมออกจะง่ายเสียด้วยซ้ำ เพียงแค่เราต้องทำใจให้ได้ว่ามันต้องมีหน้าตักที่หนาแค่นั้นเอง ที่เหลือมันก็อยู่ที่ว่าเราจะวางแผนช่วง Pre-flop อย่างไร เพื่อที่จะให้จังหวะ Post-flop ของเราราบรื่น เพียงเท่านี้ก็มีความสุขสนุกไปกับการเล่น Deep Stack แล้วล่ะครับ