เรื่องนี้ต้องเข้าใจ การนับแต้มไพ่และจัดชุดไพ่ Poker
เรื่องนี้ต้องเข้าใจ การนับแต้มไพ่และจัดชุดไพ่ Poker แม้ว่า โป๊กเกอร์ จะเป็นเกมที่ผู้เล่นต้องใช้จิตวิทยาในการหลอกล่อให้ผู้เล่นคนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าเราถือไพ่เหนือกว่าแล้ว แต่การบลัฟกันก็ไม่มีอะไรมาการันตีได้ว่าเราจะทำเช่นนั้นไปได้ตอน ดังนั้นการนับแต้มไพ่และการจัดชุดไพ่จึงเป็นอีกเรื่องที่ผู้เล่นมือใหม่ควรให้ความสำคัญ แม้ว่าในการแข่งขันเราจะไม่สามารถเลือกไพ่ที่ต้องการได้ แต่ถ้าเรารู้ว่าไพ่ในมือเราแต้มต่อเป็นอย่างไร ก็จะช่วยให้เราแก้สถานการณ์ได้ดีและมีโอกาสชนะมากขึ้นครับ
คุณอาจจะเคยได้ยินคนพูดกันเสมอว่า Poker สุดยอดเกมไพ่ที่เป็นได้มากกว่าการพนัน บางคนก็สงสัยว่าทำไมคนชอบเล่นโป๊กเกอร์กันเยอะมาก ก็ไม่ได้ยาก แต่ก็ไม่ได้ง่าย แถมต้องใช้จิตวิทยาในการหลอกล่อคู้ต่อสู้อีก งั้นเรามาดูกันดีกว่าว่า โป๊กเกอร์คืออะไร มาจากไหน ทำไมคนสนใจเยอะมาก
วิธีนับแต้มไพ่ Poker
สำหรับไพ่ โป๊กเกอร์ จะมีความแตกต่างจากไพ่รูปแบบอื่นอย่างพวก บาคาร่า หรือว่า เสือมังกร ที่ใช้แค่แต้มหน้าไพ่ก็สามารถชี้ขาดกันได้แล้ว แต่ว่า โป๊กเกอร์ จะดูกันไปจนถึงดอกไพ่ด้วย ซึ่งการนับแต้มไพ่จะเรียงจากมากไปน้อยดังนี้
- ไพ่ A (Ace) เป็นไพ่ที่มีแต้มมากที่สุด และแต้มน้อยที่สุด (1 แต้ม) ในใบเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่าไพ่ใบนี้จะถูกจัดชุดร่วมกับไพ่ใบใด สมมติว่าถ้าอยู่ในชุดไพ่ A, K, Q, J, 10 แบบนี้ไพ่ A จะมีแต้มมากที่สุด แต่ถ้าอยู่ในชุด 5, 4, 3, 2, A เช่นนี้ไพ่ A จะถือว่ามีแต้มน้อยที่สุด
- ไพ่ K (King) เป็นไพ่ที่ใหญ่รองจากไพ่ A แต่ถ้าไม่มีไพ่ A อยู่ด้วยก็จะกลายเป็นไพ่ใหญ่สุดในชุดเหมือนกัน
- ไพ่ Q (Queen) เป็นไพ่ที่มีแต้มน้อยกว่าไพ่ King
- ไพ่ J (Jack) เป็นไพ่ที่มีแต้มน้อยกว่าไพ่ Queen และเป็นไพ่ใหญ่กว่าบรรดาไพ่หน้าแต้ม
- ไพ่หน้าตัวเลข 2-10 จะมีแต้มเท่ากับหมายเลขที่แสดงอยู่บนหน้าไพ่
นอกจากนี้ โป๊กเกอร์ ยังใช้ดอกไพ่เป็นตัวคุมหรือตัวตัดสินว่าไพ่ไหนใหญ่กว่ากัน เหมือนเกิดกรณีที่ว่าไพ่ทั้งสองใบมีแต้มเท่ากันแต่เป็นไพ่คนละดอก โดยดอกไพ่จะเรียงจากใหญ่ไปเล็กดังนี้
โพธิ์ดำ > หัวใจ > ข้าวหลามตัด > ดอกจิก
ไพ่ Poker จัดชุดอย่างไร
นอกจากจะอ่านแต้มไพ่ได้ การจัดชุดไพ่เป็นถือว่าเป็นงานหลักของการเล่น โป๊กเกอร์ ยิ่งเรียงไพ่ได้ดียิ่งมีโอกาสชนะมากขึ้น โดยการจัดชุดไพ่จะเรียงจากชุดที่มีคะแนนมากที่สุดไปจนถึงคะแนนน้อยที่สุดดังนี้
Royal Straight Flush
- เป็นไพ่ชุด 5 ใบเรียงจากไพ่ A, K, Q, J และ 10 โดยไพ่ทั้งหมดจะต้องอยู่ในดอกเดียวกัน ถือว่าเป็นชุดไพ่ที่ออกได้ยากที่สุด โอกาสออกเพียงแค่ 0.00015% เท่านั้น
Straight Flush
- เป็นชุดไพ่ 5 ใบที่มีแต้มเรียงกัน (ห้ามข้ามแม้แต่แต้มเดียว) และไพ่ทุกใบจะต้องอยู่ในดอกเดียวกันด้วย เป็นไพ่ที่ออกค่อนข้างอยาก โอกาสออกคือ 0.0015%
Four of kind
- เป็นชุดไพ่ 5 ใบ โดยไพ่ 4 ใบจะต้องเป็นแต้มเดียวกันเท่านั้น ส่วนอีก 1 ใบจะเป็นไพ่อะไรก็ได้ โอกาสออกอยู่ที่ 0.024%
Full House
- ไพ่ 5 ใบในชุดนี้จะต้องประกอบไปด้วยไพ่ตอง 1 ชุด (3 ใบแต้มเดียวกัน) และไพ่คู่อีก 1 ชุด (แต้มเดียวกัน 2 ใบ) โอกาสออกไพ่นี้คือ 0.14% สำหรับการตัดสินแพ้ชนะในกรณีที่มีผู้เล่นได้ Full House เหมือนกัน จะพิจารณาจากชุดไพ่ตองก่อน ถ้ายังเท่ากันค่อยมาตัดสินกันที่ไพ่คู่อีกครั้ง
Flush
- เป็นไพ่ชุด 5 ใบที่มีดอกเดียวกันทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องเรียงแต้ม แต่ถ้ารวมแต้มกันแล้วมีผู้เล่นได้ไพ่ชุดเดียวกันและแต้มเท่ากันจะต้องวัดกันด้วย Kicker หรือไพ่ที่ใหญ่ที่สุดในชุดนั้น Kicker ของใครใหญ่กว่าก็จะเป็นผู้ชนะไป โอกาสออกไพ่ชุดนี้คือ 0.2%
Straight
- ไพ่ชุดนี้จะประกอบไปด้วยไพ่ 5 ใบที่มีแต้มเรียงกัน ไม่จำเป็นต้องอยู่ในดอกเดียวกัน และถ้ามีผู้เล่นอื่นได้ไพ่ Straight เหมือนกันแล้วมีแต้มเท่ากัน จะต้องใช้ไพ่ที่มีแต้มมากที่สุดในชุดเป็นตัวตัดสิน โอกาสออกไพ่อยู่ที่ 0.39%
Three of kind
- คือไพ่ชุด 5 ใบที่ประกอบไปด้วยไพ่ตอง 1 ชุด และไพ่อื่น ๆ อีก 2 ใบ หากมีผู้เล่นที่ได้ไพ่ตองเหมือนกันให้ใช้ไพ่ 2 ใบที่เหลือเป็น Kicker ถือได้ว่าเป็นไพ่ที่มีโอกาสออกค่อนข้างสูง โอกาสออกอยู่ที่ 2.1%
Two Pair
- เป็นชุดไพ่คู่ 2 ชุด และไพ่อื่นอีก 1 ใบ หากมีผู้เล่นที่ได้ Two Pair เหมือนกัน จะใช้วิธีวัดแต้มทีละคู่ หากทั้ง 2 คู่ยังแต้มเท่ากัน ให้ใช้ไพ่ใบสุดท้ายเป็นตัว Kicker โอกาสออกไพ่ชุดนี้สูงถึง 4.75%
One Pair
- ในไพ่ชุดนี้จะมีไพ่คู่เพียงแค่ชุดเดียวเท่านั้น และไพ่อีก 3 ใบที่เหลือจะถูกใช้เป็น Kicker ในกรณีที่ไม่สามารถใช้ไพ่คู่ที่มีอยู่ตัดสินกับผู้เล่นคนอื่นที่มีไพ่ One Pair ได้ โอกาสออกไพ่คือ 42%
High Card
- เป็นไพ่ที่ไม่จำเป็นต้องเรียงแต้มหรือเรียงดอกอะไรเลย มีไว้สำหรับรวมแต้มเพียงอย่างเดียว แม้ว่าไพ่ชุดนี้จะมีโอกาสออกมากถึง 50% แต่ก็เป็นไพ่ที่ไม่นิยมเล่นกัน ส่วนมากจะเลือกหมอบเสียมากกว่า นอกจากว่าจะใจถึงทำการบลัฟไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะชนะ ซึ่งโอกาสชนะด้วยไพ่นี้ก็มีน้อยมาก ๆ เสียด้วย
สรุปลำดับไพ่ โป๊กเกอร์ จากชุดใหญ่ (คะแนนมาก) ไปหาชุดเล็ก (คะแนนน้อย) ได้ดังนี้ Royal Flush > Straight Flush > Four of kind > Full House > Flush > Straight > Three of kind > Two pair > One pair > High card
อย่างไรก็ตามมันก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่เราจะโดนไพ่ High Card ตั้งแต่ต้นเกม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะแพ้เสมอไป อย่างที่รู้กันดีครับว่าเกมไพ่ โป๊กเกอร์ ไม่ได้มีดีแค่นี้ ถ้าหากเรามีทักษะการเล่น สามารถใช้การบลัฟหลอกล่อผู้เล่นคนอื่นได้ มันก็มีโอกาสที่เราจะชนะไพ่ใหญ่ด้วยไพ่แต้มน้อยอยู่เหมือนกัน แต่มันก็มีความเสี่ยงตรงที่เราจะต้องเพิ่มเดิมพันไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ได้เล่นรอบต่อไป และถ้ารอบสุดท้ายยังมีคนที่ถือไพ่เหนือกว่าเหลืออยู่ แบบนี้เราก็เสียเดิมพันไปฟรี ๆ เหมือนกันครับ
ใครรู้บ้างว่าเล่นไพ่โป๊กเกอร์ผู้เล่นต้องอยู่ตำแหน่งตรงไหนถึงจะดี และตำแหน่งไหนแย่ที่สุด วันนี้จะมาอธิบายและแนะนำ 3 ตำแหน่ง Poker อยู่ตรงไหน เล่นยังไงถึงจะชนะง่ายขึ้น